5.การเพิ่มผลผลิตในองค์กร

การเพิ่มผลผลิตในองค์กร


หลักของการเพิ่มผลผลิตในองค์การทุกแห่งจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิด 4 ประการ คือ
1. การพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ
2. การลดต้นทุน
3. ความรวดเร็วในการส่งมอบสินค้าและการบริการ
4. ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน

1.1 ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสามารถที่จะนำทรัพยากรที่มีอยู่ออกมาใช้ได้อย่างดีที่สุดในความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมาย ความหมายที่ 2 หมายถึง ความสามารถที่ทำให้เกิดผลในการงานหรือลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม (Doing Things Right)ประสิทธิภาพเป็นการเปรียบเทียบส่วนที่เป็น Input หรือปัจจัยนำเข้ากับ Output ผลิตผลที่ได้ การวัดค้าประเมินประสิทธิภาพ คือ Input ต้องใกล้เคียงกับ Output มากที่สุดและมีความสูญเสียน้อยที่สุด ประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ความสามารถในการเลือกเป้าหมายที่เหมาะสมในการบรรลุเป้าหมายนั้นๆความหมายที่ 2 หมายถึง ผลสำเร็จหรือผลที่เกิดขึ้นหรือการเลือกลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม

1.2 อัตราผลิตภาพ (Productivity)ผลิตภาพ คือ อัตราส่วนระหว่างผลิตผล (Outputs) ขององค์การในรูปของสินค้าและบริการต่อจำนวนปัจจัยการผลิต (Inputs) ที่ใช้ไปเราสามารถแบ่งประเภทของอัตราผลิตภาพได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

    1.1.2 อัตราผลิตภาพเฉพาะส่วน (Partial Productivity) คือ อัตราส่วนระหว่างผลิตผลต่อทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตแต่ละชนิด

เช่น อัตราผลิตภาพวัตถุดิบ (Material Productivity)
อัตราผลิตภาพเรื่องเงินลงทุน (Capital Productivity)
อัตราผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity)
อัตราผลิตภาพค้าใช้จ่าย (Expense Productivity)
อัตราผลิตภาพพลังงาน (Energy Productivity) เป็นต้น
ตัวอย่าง  ผลิตผล 1000 บาท

ทรัพยากรที่ใช้

– วัตถุดิบ 200 บาท

– เงินลงทุน 300 บาท

– แรงงาน 200 บาท

– ค่าใช้จ่าย 50 บาท

– พลังงาน 100 บาท

อัตราผลิตภาพเฉพาะส่วน ได้แก่
อัตราผลิตภาพวัตถุดิบ = 1000/200 = 5.00 บาท/บาท

อัตราผลิตภาพเรื่องเงินลงทุน = 1000/300 = 3.33 บาท/บาท

อัตราผลิตภาพแรงงาน = 1000/200 = 5.00 บาท/บาท

อัตราผลิตภาพค่าใช้จ่าย = 1000/50 = 20.00 บาท/บาท

อัตราผลิตภาพพลังงาน = 1000/100 = 10.00 บาท/บาท
     1.2.1 อัตราผลิตภาพองค์ประกอบรวม (Total Factor Productivity) คือ อัตราส่วนผลิตผลสุทธิ ต่อผลรวมของทรัพยากรด้านเงินทุน และแรงงาน (ผลิตผลสุทธิ = ผลผลิตรวม – ค่าวัตถุดิบบริการที่ต้องซื้อ)



วงจรผลิตผล (Productivity Cycle)

การเพิ่มผลผลิตจะเกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง มีลักษณะเป็นวงจร (Cycle) ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการของวงจรผลิตภาพหรือวงจรการเพิ่มผลผลิต เป็นขั้นตอนดังนี้

1. การวัดผลงาน (Measurement)
2. การประเมินผลงาน (Evaluation)
3. การวางแผน (Planning)
4. การปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต (Productivity Improvement)


ต้นทุนและความสูญเสีย

องค์การที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินงานผู้บริหารมักคำนึงถึงกำไร (Profits) เป็นเป้าหมายสูงสุดซึ้งการจะได้กำไรมากน้อยขึ้นอยู่กับราคาขายหรือมูลค่าสินค้าต้องสูงกว่าต้นทุนการผลิต จากสมการ

กำไร = ราคาขาย – ต้นทุน

3.1 ต้นทุน (Cost) หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปสำหรับทรัพยากรทางการผลิตเพื่อให้เกิดผลิตผลต้นทุนการผลิตที่เป็นค่าใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ

1. ค่าวัสดุ (Material Cost)
2. ค่าแรงงาน (Labor Cost)
3. ค่าโสหุ้ย (Overhead Cost)



ค่าโสหุ้ย จะประกอบด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆ
– ค่าวัสดุทางอ้อม เช่น ค่าวัสดุเครื่องใช้สำนักงาน ค่าทำความสะอาด ค่าบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น
– ค่าแรงงานทางอ้อม เช่น ค่ายามรักษาความปลอดภัย ค่าพนักงานทำความสะอาด พนักงานรับโทรศัพท์ เป็นต้น
– ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ
– ค่าใช้สอยอื่นๆ
– ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรและทรัพย์สินอื่น ๆ
– ค่าใช้จ่ายสวัสดิการ เช่น โบนัส ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ
– ค่าขนส่ง เป็นต้น

ปัญหาของการเพิ่มผลผลิต ซึ้งทำให้ผลผลิตตกต่ำลงและอาจมีสาเหตุหลายประการซึ้งทำให้เกิดความสูญเสีย ได้แก่

     3.2.1. ความสูญเสียในส่วนวัสดุ เช่น

– มากเกินไป สั่งซื้อมามาก ทำให้หมดเงินลงทุน และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ
– สูญหาย การวางผิดที่ หยิบใช้โดยไม่ต้องบอก ฯลฯ
– ไว้ผิดประเภท จัดซื้อไม่ถูกขนาดหรือ Spec เสียค่าใช้จ่ายมาก ฯลฯ

     3.2.2. ความสูญเสียในส่วนเครื่องจักร

– เก่าชำรุด
– สกปรก ขาดการดูแลรักษา
– ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ฯลฯ

     3.2.3. ความสูญเสียในส่วนแรงงาน

– ขาดระเบียบวินัย
– ขาดการฝึกอบรม
– มีทัศนคติที่ไม่ดีในการทำงาน ฯลฯ

     3.2.4. ความสูญเสียในส่วนกระบวนการผลิตหรือวิชาการทำงาน

– ขาดเทคโนโลยี
– ไม่มีการพัฒนาควบคุมคุณภาพ ฯลฯ

ความสูญเสีย 7 ชนิด บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ แห่งประเทศญี่ปุ่น ได้ระบุถึงสาเหตุของความสูญเสีย 7ชนิด ไว้ ดังนี้

1. ผลิตมากเกินไป
2. ของชำรุดเสียหายหรือของเสีย
3. ความล่าช้าหรือการรอคอย
4. วัสดุคงคลัง สินค้าคงคลังมากเกินไป
5. การขนส่งหรือการขนย้าย
6. กระบวนการหรือการแปรรูป
7. การเคลื่อนไหว

– ความสูญเสียที่เกิดจากการผลิตมากเกินไป (Overproduction)

การผลิตมากเกินไป ทำให้มีการใช้วัตถุดิบและแรงงานเกินความจำเป็น เป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตขั้นสุดท้าย และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้า การบรรจุภัณฑ์และการขนส่ง

– ความสูญเสียที่เกิดจากการผลิตของเสีย (Defect)

การผลิตของเสีย หมายถึง การสูญเสียคุณค่างาน เสียเวลา เสียวัตถุดิบ และยังเป็นการเพิ่มงานในการผลิตหรือการแก้ไขงานใหม่

– ความสูญเสียที่เกิดจากการล่าช้าหรือการรอคอย (Delay or Waiting)

การรอคอย หรือความล่าช้า เกิดจากสาเหตุต่างๆ กัน เช่น ความล่าช้าของการส่งวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน การใช้เวลานานในการติดตั้งเครื่องจักร กระบวนการขาดความสมดุลอันเนื่องจากการวางแผนการผลิตไม่ถูกต้อง

– ความสูญเสียที่เกิดจากการมีวัสดุคงคลังที่ไม่จำเป็น (Inventory / workin-process)

การสะสมวัตถุดิบไว้จำนวนมากแล้วใช้ไม่ทัน ทำให้ต้องใช้พื้นที่ในการเก็บรักษาต้องเสียค่าใช้จ่าย ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย เสียเวลาทำงาน และเสียทรัพยากรอื่นๆ

– ความสูญเสียที่เกิดจากการขนส่งหรือขนย้าย (Transport)

การใช้แรงงานขนส่งของเป็นระยะไกลๆ ในการทำงาน การเดินทางของพนักงานส่งเอกสาร การขนส่งเป็นการสูญเสียที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่าของสินค้า

– ความสูญเสียเกิดจากการกระบวนการผลิต (Process)

ความสูญเสียอาจเกิดจากการไม่ได้ดูแลรักษาเครื่องจักร การทำงานด้วยมือที่มีการข้ามขั้นตอนการทำงาน เครื่องจักรมีประสิทธิภาพต่ำ

– ความสูญเสียที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น (Motion)

การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น การปฏิบัติงานที่ไม่เหมาะสมถูกต้อง การทำงานกับเครื่องมือหรืดอุปกรณ์ที่มีขนาดน้ำหนักหรือสัดส่วนที่ไม่เหมาะสมกับร่างกาย

เทคนิคการเพิ่มผลผลิตในองค์การ
หลักการสำคัญของการบริหารเพื่อเพิ่มผลผลิตในองค์การ สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง คือ

4.1. เวลาในการผลิต
4.2. การวางแผนควบคุมการผลิต
4.3. การใช้ระบบเพียงระบบเดียวในการผลิต
4.4. ไม่มีวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมการผลิต


ขอขอบคุณ http://www.kmitnbxmie8.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=388020&Ntype=3 
สืบค้นเมือวันที่ 15/11/2560

ความคิดเห็น